วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

ไทเกอร์ วู้ดส์ นักกอล์ฟอัจฉริยะลูกครึ่งไทย-อเมริกัน

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับหนุ่มผิวหมึก สุดฮอต (ฮอตทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว) ใครได้ติดตามข่าวของหนุ่มคนนี้ คงรู้สึกสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เมื่อสื่อต่างๆในอเมริกาต่างพากันแฉเรื่องราวลับของเค้ากันอย่างเมามัน เป็นใครไม่ได้นอกจาก เจ้าเสือ ไทเกอร์ วู้ดส์ ติดตามประวัติของเขาได้ที่นี่ค่ะ

นักกอล์ฟอัจฉริยะลูกครึ่งไทย-อเมริกัน คนนี้มีชื่อเต็มว่า เอลดริก ไทเกอร์ วู้ดส์ ชื่อเล่น ต้น เกิดเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2518 ที่เมืองไซเปรส แคลิฟอร์เนีย เกิดจากมารดาชาวไทย ชื่อ นางกุลธิดา วูดส์ (พันธ์สวัสดิ์) กับบิดาอดีตทหารผ่านศึกใน สงครามเวียดนาม ชาว แอฟริกัน-อเมริกัน ชื่อ เอิร์ล วูดส์ ไทเกอร์ วูดส์ มีพี่ชายและพี่สาวต่างมารดา 3 คน


ผลงานก่อนเทิร์นโปร คือเป็นแชมป์ ยู.เอส.อเมเจอร์ 3 ปีติดกัน ในปี 37,38,39 แชมป์ยู.เอส.จูเจียร์ อเมเจอร์ ในปี 34,35,36 และแชมป์เอ็นซีเอเอ ในปี 2539

       


ผลงานของหนุ่มผิวหมึกคนนี้ เริ่มเทิร์นโปรเมื่อเดือน ส.ค. 2539 และในปีเดียวกันเป็นแชมป์รายการทัวร์ ลาสเวกัส อินวิเตชั่นแนล และแชมป์วอลต์ ดิสนีย์เวิลด์/โอลด์โมไบล์ คลาสสิค ปี 2540 เป็นแชมป์เมอร์ซิเดส แชมเปี้ยนชิพ และเอเชี่ยน ฮอนด้า คลาสสิค ติดทีมชาติสหรัฐชุดวอล์กเกอร์คัพ และเวิลด์ อเมเจอร์ แชมเปี้ยนชิพ ในปี 2537

ในการแข่งขันกอล์ฟมาสเตอร์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2540 ที่สหรัฐ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 แมตช์ใหญ่ของโลก ไทเกอร์สร้างประวัติศาสตร์โลก เขากลายเป็นนักกอล์ฟผิวดำคนแรกที่คว้าแชมป์ยูเอส มาสเตอร์ และเป็นแชมป์มาสเตอร์ที่มีอายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งทำลายสถิติของเซวี่ บัลเยสเตรอส นักกอล์ฟชาวสเปน ที่คว้าแชมป์ด้วยวัย 23 ปี 4 วัน ในการแข่งขันปี 2523


ไทเกอร์เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม จบรายการด้วยการทำสกอร์ 18 อันเดอร์พาร์ ลบสถิติเดิมที่ทำไว้ 17 อันเดอร์พาร์ และทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 12 สโตรก เท่ากับเป็นการทำลายสถิติของแจ๊ก นิคลอส ที่ทำไว้ 9 สโตรก ความสำเร็จของไทเกอร์ครั้งนั้น ทำให้เขาติดทีมสหรัฐไปลุยศึกกอล์ฟไรเดอร์คัพ ซึ่งเป็นนัดดวลกันระหว่างทีมสหรัฐกับทีมยุโรป ในเดือนก.ย.ปี 2540


ปัจจุบัน ไทเกอร์ วูดส์ ชนะเลิศการแข่งขันพีจีเอทัวร์ ทั้งสิ้น 62 รายการ และรายการเมเจอร์ 14 รายการ


การชนะเลิศรายการเมเจอร์หลายรายการ ส่งผลให้เขาไต่ขึ้นเป็นนักกอล์ฟมืออันดับ 1 ของโลก ได้อย่างรวดเร็ว และยาวนาน นิตยสารไทม์ของสหรัฐยังจัดให้เขาเป็น 1 ใน 25 บุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในสหรัฐ เพราะเขาทำให้วงการกอล์ฟทั่วประเทศและทั่วโลกเกิดความตื่นตัว

 


ไทเกอร์ สมรสกับเอลิน นอร์เดเกรน เมื่อ ค.ศ. 2004 และมีบุตร 2 คน คือ แซม อเล็กซิสและชาร์ลี เอ็กเซล แต่ในปี ค.ศ. 2010 ไทเกอร์และเอลินได้หย่ากันเนื่องจากปัญหาในครอบครัว
  

และเนื่องจากปัญหาครอบครัวนี้เอง ทำให้สื่อต่างๆในอเมริกาออกมาขุดคุ้ยหาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวระหว่าง ไทเกอร์และเอลิน ไทเกอร์ วูดส์ หายไปจากวงการกีฬา หลังถูกเปิดโปงพฤติกรรมฉาว นอกใจ เอลิน ภรรยาชาวสวีดิชเมื่อปี 2010 จนเจ้าตัวไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ต้องประกาศเว้นวรรคการแข่งขันกอล์ฟไปอย่างไม่มีกำหนด เพื่อหวังรักษาชีวิตคู่ของตนเอง รวมทั้งยังตกเป็นข่าวเข้ารับการบำบัดอาการติดเซ็กซ์ กับคลินิกที่มิสซิสซิปปีอีกด้วย

เราก็ได้แต่หวังว่าไทเกอร์จะปรับปรุงตัวเอง และกลับมาครองตำแหน่งนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลกเช่นเคย

ขอบคุณข้อมูลจาก  www.sport-idol.com
และ http://th.wikipedia.org/wiki



วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

เลดี้ กา ก้า นักร้องขาแดนซ์ สุดซ่าส์

วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก นักร้องสาวขาแดนซ์  สุดซ่าส์ "Lady Gaga" (เลดี้ กาก้า) เจ้าของอัลบั้มล่าสุด Born This Way ก็ Lady Gaga เธอเล่นแต่งตัว แต่งหน้า ทำผมแรงซะขนาดนั้น ใครจะไปจำเธอไม่ได้ ๆ แต่เห็น Lady Gaga เป็นสาวสุดเซ็กซี่ขนาดนั้น แต่จริง ๆ แล้วเธอก็แอบมีมุมชีวิตดี ๆ ที่ใครหลาย ๆ คนไม่คาดคิดเหมือนกันนะ นั่นแน่! เริ่มอยากรู้จัก Lady Gaga ให้มากกว่าที่เห็นแล้วใช่มั้ย ถ้างั้นก็อย่ารอช้า ตามเข้าไปอินไซต์ประวัติส่วนตัวของสาวเปรี้ยวคนนี้กันเลย...








         
เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) หรือ โจแอน สเตฟานี่ เจอมานอตต้า (Joanne Stefani Germanotta) เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) ที่ยองเกอร์ส รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา พ่อและแม่เป็นนักลงทุนทางอินเทอร์เน็ต เชื้อสายอิตาเลียน ในวัยเด็ก Lady Gaga เข้าเรียนที่ Convent of the Sacred Heart ในแมนฮัตตัน และเรียนต่อด้านดนตรีที่โรงเรียนศิลปะทิสช์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก แต่ลาออกก่อนจะสำเร็จการศึกษา ซึ่งหลังจากลาออกจากโรงเรียน Lady Gaga ก็ได้ย้ายออกจากบ้าน แต่ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่แมนฮัตตัน และทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟ

      

สำหรับเส้นทางสายบันเทิงของ Lady Gaga นั้น เรียกได้ว่าฝ่าฟันอุปสรรคมาพอสมควร โดยตอน Lady Gaga อายุ 19 ปี เธอได้มีโอกาสเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับค่ายเดฟ แจม ต่อมากลับถูกยกเลิกสัญญากลางคัน แต่เพราะความสามารถที่มีไปเข้าตา Akon นักร้อง นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ชื่อดัง จับเธอมาเข้าสังกัด อินเตอร์สโคปเรคอร์ดส (ต้นสังกัดปัจจุบัน) ตอนอายุ 20 ปี โดยให้เธอทำงานในฐานะนักแต่งเพลงให้กับค่าย โดยเขียนเพลงให้กับศิลปินอย่าง Pussycat Dolls ก่อนที่มองเห็นถึงศักยภาพในด้านการร้องเพลงของเธอ และคิดว่าเธอมีรัศมีและความสามารถเพียงพอที่จะมีผลงานเพลงเป็นของตัวเองได้ พร้อมทั้งเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Lady gaga ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาเพลง "Radio Ga-Ga" ของ ควีน ซึ่งร็อบ ฟูซารี หนึ่งในทีมโปรดิวเซอร์ เป็นคนตั้งให้เธอ

    


ต่อมา Lady Gaga เริ่มทำอัลบั้มแรกในปี 2008 (พ.ศ.2551) มีชื่อว่า The Fame ร่วมกับโปรดิวเซอร์ เรดวัน โดยอัลบั้มวางแผงในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.2008 (พ.ศ.2551) ที่มีซิงเกิลฮิตอย่าง"Just Dance" และ "Poker Face" ซึ่งทั้งสองซิงเกิลสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งใน Billboard Chart ทำสถิติเป็นศิลปินคนแรกในรอบเกือบ 10 ปี ที่ซิงเกิล 2 ซิงเกิลแรกขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในชาร์ต นอกจากนี้ "Just Dance" ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี สาขาเพลงแดนซ์ยอดเยี่ยมอีกด้วย ... เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาทีเดียว

และยิ่งตอกย้ำให้ผู้คนรู้จัก Lady Gaga มากยิ่งขึ้น เมื่อ คริสติน่า อากีเลร่า ขึ้นแสดงเพลง"Keep Gettin' Better" ในงานประกาศผลรางวัลเอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ในภาพลักษณ์คล้าย ๆ กับเธอ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คริสติน่า อากีเลร่า กำลังเลียนแบบภาพลักษณ์ของ Lady Gaga อีกทั้งการปรากฎตัวของเธอแต่ละครั้งก็สร้างเสียงฮือฮาตื่นตาตื่นใจกับแฟชั่นสุดล้ำได้เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ใส่โชว์ในคอนเสิร์ต ชุดที่ใส่ในงานประกาศผลรางวัล MTV Video Music Awards 2009 จนกลายเป็นเอกลักษณ์และสีสันของงาน


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ภาพลักษณ์ของ Lady Gaga จะถูกมองเป็นนักร้องสาวสุดมั่นแห่งยุค แต่งตัวสไตล์หลุดโลก ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ แถมยังมีภาพหลุดที่มักชอบทำท่าทำทางแผลง ๆ ออกมาว่อนเน็ตประจำ และล่าสุดเธอก็ออกมายอบรับว่าตัวเองเป็นพวกไบเซ็กชวล แต่ Lady Gaga กลับยืนยันว่าจริง ๆ แล้วตัวเธอไม่ค่อยชอบท่องราตรีหรือดื่มหนัก เธอกลับบอกว่าเธอเป็นสาวบ้างาน เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้ออกไปปาร์ตี้ สู้เอาเวลาไปทำงานจะดีกว่า ที่สำคัญเธอก็ไม่เห็นว่า การเที่ยวกลางคืนจะสนุกตรงไหนพร้อมกับเผยว่าเธอก็อยากมีชีวิตครอบครัวเหมือนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แถมยังอยากเป็นคุณแม่กับเขาเหมือนกันนะ

  

2010 - 2011: Born this way

เดือนมีนาคม 2010 กาก้าเปิดเผยว่า ได้เริ่มทำสตูดิโออัลบั้มใหม่ และเขียนธีมหลักของอัลบั้มเสร็จแล้ว สามเดือนต่อมา เธอประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มที่สองใกล้เสร็จสมบูรณ์ "มันเร็วมาก ฉันทำงานนี้เป็นเดือนๆ และรู้สึกได้ว่ามันเสร็จแล้ว ศิลปินบางคน อาจใช้เวลานานเป็นปี แต่ไม่ใช่ฉัน ฉันเขียนเพลงทุกๆ วัน"


กาก้าประกาศชื่ออัลบั้มใหม่ที่จะออกวางจำหน่ายในปี 2011 นี้ว่า Born This AWay.ในระหว่างขึ้นรับรางวัลวิดีโอแห่งปีบนเวทีเอ็มวีมิวสิกวิดีโออวอร์ดส์ ประจำปี 2010 โดยกาก้าได้นำเพลงจากอัลบั้มใหม่มาใช้ร้องสดในทัวร์คอนเสิร์ตของเธอ คือ Born this way และอีกเพลงคือ Yoü and I ซึ่งเธอร้องเพลงนี้บนเวทีเทศกาลดนตรีลอลลาพาลูซา 2010 เพลง Born this way จะเป็นซิงเกิลเปิดตัวอัลบั้ม ที่จะจำหน่ายในวันที่ 13 กุมภาพันธํ 2011 เธอกล่าวถึงอัลบั้มนี้ว่า "จะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในทศวรรษนี้" "เป็นสิ่งพาให้เรานอนดึกและรู้สึกสะพรึงกลัว" "เด็กเลวเดินเข้าโบสถ์" และ "ความสนุกสนานขึ้นไปอีกระดับ" กาก้าอธิบายถึงเพลงใหม่ของตัวเองว่า "เป็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าผมปลอม ลิปสติก หรือ เสื้อผ้าที่เห็น"


   

โดย เลดี้กาก้าได้เริ่มต้นทัวร์คอนเสิร์ตของเธอโดยใช้ชื่อว่า เดอะบอร์นดิสเวย์บอลทัวร์ ( Born This Way Tour) เป็นทัวร์รอบโลกโดยเริ่มที่แถบเอเชียก่อนและไปต่อที่แถบโอเซียเนียและยูโรป รวมถึงการแสดงในประเทศไทยที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานเมื่อวันที่  25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่า เหล่าบรรดาแฟนคลับที่เรียกว่า Little Mons†er ไปให้กำลังใจและชมการแสดงคอนเสริตของเธออย่างล้นหลามเลยทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org 
และ women.kapook.com

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป็อป (King of Pop)

Michael Jackson (ไมเคิล แจ๊กสัน) นักร้องชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น ราชาเพลงป็อป หรือ King of Pop ตำแหน่งที่เขาได้รับจากผลงานเพลงที่ชนะใจแฟนเพลงทั่วโลก และท่าเต้นที่ทำให้คนทั้งโลกต้องเต้นตาม คือท่า Moon walk หลังการจากไปของราชาเพลงป็อบได้ทำให้แฟนๆ เสียใจ แต่เชื่อค่ะว่า เขายังอยู่ในใจของแฟนๆอเมริกัน และแฟนๆทั่วโลก วันนี้เราจึงขอ ร่วมรำลึกถึง ราชาเพลง POP ไมเคิล แจ็คสัน กันค่ะ

 ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน (Michael Joseph Jackson) หรือเรียกย่อๆ ว่า เอ็มเจ (MJ) หรือ แจ็คโก้ (Jacko) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1958 (พ.ศ.2501) ที่อินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นลูกคนที่ 7 ในบรรดาพี่น้อง 9 คน ของ โจเซฟ วอล์เตอร์ และแคทเธอรีน เอสเตอร์





             


 เส้นทางสู่นักร้องของไมเคิล แจ็คสัน เริ่มต้นตั้งแต่เขามีอายุได้เพียง 7 ปี เมื่อได้เป็นนักร้องนำของวง "เดอะ แจ็คสัน ไฟว์" (The Jackson 5) และเมื่อเขาอายุ 11 ปี ได้ออกอัลบั้ม "Got to Be There" เป็นอัลบั้มเดี่ยวชิ้นแรกของเขา ซึ่งก็สร้างความตื่นตะลึงให้วงการเพลง เมื่อเพลงของเขาสามารถทะยานขึ้นอันดับ 1 ของชาร์ตได้สำเร็จ ถึง 3 เพลง และในปี พ.ศ.2522 ได้มีผลงานชุด "Off the Wall" ซึ่งทำยอดขายได้กว่า 20 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก ก่อนจะมีผลงานชุด "Thriller" ในปี พ.ศ.2525 ซึ่งสามารถจำหน่ายได้ถึง 60 ล้านชุด ทำสถิติเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติการณ์ จนกระทั่งปี พ.ศ.2530 ไมเคิลได้ออกอัลบั้ม "Bad" และสร้างสถิติเป็นอัลบั้มที่มีซิงเกิ้ลต่างๆ ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดมากที่สุด


    

ในปี พ.ศ.2534 ไมเคิลได้ออกอัลบั้ม "Dangerous" ที่มีเพลง "Black or White" โด่งดังจนติดอันดับ 1 ทั้งในบิลบอร์ดและชาร์ตเพลงทั่วโลก ก่อนที่จะออกอัลบั้ม "History" และส่งให้เพลง "You’re Not Alone" กลายเป็นซิงเกิ้ลแรกในประวัติศาสตร์ที่ติดอันดับ 1 ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย

       


 ความโด่งดังของ ไมเคิล แจ็คสัน รวมทั้งท่าเต้น "มูน วอล์ค" และ "ลูบเป้า" อันเป็นเอกลักษณ์สร้างชื่อของเขา ทำให้ไมเคิล ได้เดินทางไปเปิดคอนเสิร์ตทั่วโลก รวมทั้งที่ประเทศไทยด้วย โดยไมเคิล แจ็คสัน เคยเดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2536 ที่สนามศุภชลาศัย เป็นการโปรโมตปิดอัลบั้ม Dangerous ซึ่งแฟนเพลงชาวไทยให้ความสนใจอย่างมาก และถือเป็นการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ของนักร้องชาวต่างประเทศระดับโลกครั้งแรกของไทย แต่ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเช่นกัน เพราะบางส่วนเห็นว่าท่าเต้น "ลูบเป้า" ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย ส่วนคอนเสิร์ตครั้งที่ 2 ของไมเคิล แจ็คสัน ในเมืองไทย จัดขึ้นในกลางปี พ.ศ.2538 ที่เมืองทองธานี เพื่อโปรโมตอัลบั้ม History แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าคอนเสิร์ตครั้งแรก

นอกจากนี้ชื่อของไมเคิล แจ็คสัน ยังได้ปรากฎอยู่ในเพลง "ทับหลัง" ของวงคาราบาว เมื่อปี พ.ศ.2531 ที่ครั้งนั้น เพลงนี้ ได้ถูกนำไปใช้ในการเรียกร้องทวงคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จากสหรัฐอเมริกา ในเนื้อร้องว่า "เอาไมเคิล แจ็คสัน คืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา"

 


 ทั้งนี้ เรื่องชีวิตส่วนตัวของไมเคิล นั้น เขาถูกมองว่า ชอบทำตัวเด่นดังและให้เป็นข่าวอยู่เสมอ และใช้ชีวิตอย่างโอเวอร์เกินคนธรรมดา เช่น การซื้อคฤหาสน์ส่วนตัวในชื่อ "Never Land" อีกทั้งยังชอบทำตัวแปลกๆ เช่น การแต่งตัวแปลกๆ ปรากฎในที่สาธารณะ รวมทั้งเคยแต่งตัวเป็นผู้หญิงในห้องน้ำหญิงสาธารณะ หรือการที่เปลี่ยนสีผิวตัวเองจากผิวดำ ให้กลายเป็นผิวขาวซีด และการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าด้วยซิลิโคนหลายต่อหลายครั้ง

สำหรับชีวิตครอบครัวของ ไมเคิล แจ็คสัน นั้น ไมเคิล ได้แต่งงานกับ "ลิซ่า มี เพรสลีย์" ลูกสาวของราชาเพลงร็อคอย่าง "เอลวิส เพรสลีย์" อย่างกะทันหัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเลิกรากันไป เมื่อปี พ.ศ.2539 โดยไม่มีบุตรด้วยกัน แต่จากนั้น ไมเคิล ได้มีบุตร 3 คน โดย 2 คนแรกเกิดจากการผสมเทียม กับภรรยาเก่า "เด็บบี้ โรวว์" โดยลูกชายคนโตชื่อว่า "ปรินซ์ไมเคิลที่ 1" (Prince Michael Jackson I) ส่วนลูกสาวคนที่สองชื่อ "ปารีส ไมเคิล" (Paris Michael Katherine Jackson) และลูกชายคนเล็กนั้น ชื่อว่า "ปรินซ์ไมเคิลที่ 2" (Prince Michael Jackson II) โดยที่ไม่เคยมีการเปิดเผยว่าใครเป็นแม่ของเด็ก



อย่างไรก็ตาม ไมเคิลยังปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอๆ โดยมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวไมเคิล ออกมาต่างๆ นานา ทั้งเรื่องที่ว่า เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่ไม่สามารถทำให้ผิวหนังบางส่วนสามารถผลิตเม็ดสีได้ ส่งผลให้บริเวณนั้นซีดจางกว่าบริเวณอื่น เพราะไมเคิลมักปรากฎตัวด้วยลักษณะคล้ายคนป่วย ซีดเซียว บางครั้งก็นั่งรถเข็น หรือใช้ไม้เท้าช่วยเดิน

   

 ซ้ำยังมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการที่ ไมเคิล ลวนลามเด็กผู้ชายออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2548 ไมเคิล ต้องขึ้นศาลฟังคำพิพากษาในคดีข่มขืนเด็กชายผู้หนึ่ง ซึ่งบทสรุปจบลงที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องไป ก่อนจะเป็นข่าวอีกครั้ง หลังไมเคิล อุ้มลูกของตัวเองซึ่งยังเป็นทารกอยู่ ออกมาทักทายแฟนๆ และทำท่าจะทิ้งดิ่งลูกลงมาจากหน้าต่างโรงแรม จนได้รับเสียงตำหนิจากสังคมอย่างหนัก


หลังจากนั้น ข่าวคราวของไมเคิล ได้เงียบหายไปพักหนึ่ง ก่อนไมเคิลจะออกมาประกาศว่า จะกลับคืนสู่เวทีคอนเสิร์ตอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรก ในรอบ 12 ปี ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2552 ซึ่งบัตรชมการแสดงนั้นถูกจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และไมเคิล ยังมีโปรแกรมจะทัวร์คอนเสิร์ตไปต่อเนื่องจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2010 อีกด้วย ซึ่งคอนเสิร์ตครั้งนี้ต้องเพิ่มรอบแสดงเป็น 50 รอบเลยทีเดียว

   

 แต่ก่อนที่ ไมเคิล แจ็คสัน จะได้กลับขึ้นแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้ง แฟนเพลงทั่วโลกกลับต้องได้รับข่าวร้าย เมื่อไมเคิล แจ็คสัน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลยูซีแอลเอ ในนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐฯ หลังหัวใจหยุดเต้นกระทันหัน ก่อนที่แพทย์ในโรงพยาบาลลอสแองเจลิส จะแถลงยืนยันว่า ไมเคิล แจ็คสัน ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลา 14.26 น. ตามเวลาในท้องถิ่น หรือตรงกับเวลาในประเทศไทย 02.26 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ในวัย 50 ปี

ข่าวนี้สร้างความตื่นตะลึงให้คนทั่วโลก และนับเป็นการปิดฉากชีวิตของราชาเพลงป๊อบผู้โด่งดัง ที่เรียกได้ว่า เป็นนักร้องที่ใครๆ ก็รู้จัก และเป็นขวัญใจของใครหลายคนทั่วโลก


ประวัติส่วนตัว

ชื่อเต็ม : ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน (Michael Joseph Jackson)
ชื่อที่เรียก : ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson),เอ็มเจ (MJ),แจ็คโก้ (Jacko)
วันเกิด : 29 สิงหาคม 1958 (พ.ศ.2501)
สถานที่เกิด : อินเดียน่า สหรัฐอเมริกา
บิดา : นายโจเซฟ แจ็กสัน
มารดา : นางแคธารีน แจ็กสัน
พี่น้อง : แจ็กสันมีพี่น้อง 9 คน แจ๊กสัน เป็นคนที่ 7
ที่อยู่ : คฤหาสน์ "เนเวอร์แลนด์" (คฤหาสน์ผสมสวนสนุก) ลอสแองเจลิส ประเทศหรัฐอเมริกา
แนวเพลง : ป๊อบ, อาร์แอนด์บี
อาชีพ : นักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น โปรดิวเซอร์เพลง ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2511 - ปัจจุบัน


 ผลงานอัลบั้มเพลง

พ.ศ.2514 Got to Be There
พ.ศ.2515 Ben
พ.ศ.2515 A Collection of Michael Jackson′s Oldies
พ.ศ.2516 Music and Me
พ.ศ.2518 Forever, Michael
พ.ศ.2522 Off the Wall
พ.ศ.2524 One Day in Your Life
พ.ศ.2525 Thriller
พ.ศ.2527 Farewell My Summer Love
พ.ศ.2530 Bad
พ.ศ.2534 Dangerous
พ.ศ.2538 History - Past, Present and Future - Book I
พ.ศ.2540 Blood on the Dance Floor: HIStory in the Mix
พ.ศ.2544 Invincible
พ.ศ.2544 Greatest Hits - History Volume I
พ.ศ.2546 Number Ones
พ.ศ.2547 Michael Jackson: The Ultimate Collection
พ.ศ.2548 The Essential Michael Jackson

ขอบคุณข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com
และ http://th.wikipedia.org

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

มาดอนน่า ราชินีเพลงป็อบ (Queen of Pop)

มาดอนน่า หลุยส์ เวอโรนิก้า ซิกโคน ( Madonna Louise Veronica Ciccone) (เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2501) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ มาดอนน่า เป็นนักร้องสาวแนวเพลงป๊อปชาวอเมริกัน ศิลปินซุปเปอร์สตาร์อันดับ 1ของโลก ตั้งแต่ยุค 80's ถึงปัจจุบัน นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว มาดอนน่ายังเป็นนักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์ และนักแสดงอีกด้วย

ประวัติส่วนตัว

ในปี 1977 เธอย้ายจากบ้านเกิดที่เบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินติดตัวเพียง 35 ดอลล่าร์ เธอบอกให้แท็กซี่พาเธอไปที่ ที่เป็นใจกลางของทุกสิ่ง จนเธอได้มาทำงานในร้านดังกิ้นโดนัทใน นิวยอร์ก ด้วยความหวังที่ว่า สักวันนึงเธอจะต้องดังให้ได้ เธอตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งปี 1979 เธอได้งานเป็นนักแสดงในคณะ ละครเสียดสีสังคม ในช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับแดน กิลรอย (Dan Gilroy) ต่อจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตัดสินใจคบกัน ในฐานะคนรัก และได้ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า เดอะ เบรกฟาสต์ คลับ (The Breakfast Club) เริ่มแรกมาดอนน่าเล่น กลองและในเวลาต่อมาเธอก็ได้เป็นนักร้องนำ

จนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า สตีเฟ่น เบรย์ (Stephen Bray) ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ (Emmy) แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้มาร์ค คามินส์ (Mark Kamins) โปรดิวเซอร์ และดีเจ จนได้เซ็นสัญญากับไซร์ เรคคอร์ด (Sire Records) เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart แล้วซิงเกิล Burning Up ก็ตามมาตอกย้ำความฮอท จนเธอได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่ออัลบั้ม เพลง Holiday เป็นเพลงแรกของเธอ ที่เข้าชาร์ท Billboard Hot100 จากนั้นมาเธอก็มีเพลงดังมาเรื่อยๆอย่าง Borderline และ Lucky Star ร่วมปูทางในเส้นทางสายดนตรีให้เธอได้อย่างสวยงาม


        

อัลบั้มที่สอง Like A Virgin เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวเซ็กซี่ตามสไตล์มาริลีน มอนโร อัลบั้มนี้มีเพลงสร้างชื่ออย่างเช่น Like A Virgin, Material Girl, Dress You Up และ Angel และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือโชว์ Like A Virgin สุดหวือหวาในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 1984 (MTV Video Music Awards 1984) เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาเย้ายวนเธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ มาดอนน่าสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการพาเพลง Like A Virgin ขึ้นอันดับ 1 ยาวนานถึง 6 สัปดาห์ จนทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังไปร้อง เพลง Crazy For You ประกอบภาพยนตร์วิชั่น เควส (Vision Quest) ที่ดังจนซิงเกิลการกุศล รวมนักร้องดังของยุคอย่าง We Are The World ต้องยอมลงจากที่ 1 เชียว เธอได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจังจากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan

และช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ เมื่อหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่อง A Certain Sacrifice ซึ่งเธอถ่ายไว้เมื่อก่อนเข้าวงการถูกออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและ เพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความนิยมของเธอลดน้อยลงเลย กลับกันเด็กสาวต่างพากันแต่งตัวเซ็กซี่ตามมาดอนน่า เธอแต่งงานครั้งแรกกับดาราหนุ่มชอณ เพนน์ (Sean Penn) มีหนังที่เล่นด้วยกันอย่างเรื่อง Shanghai Surprise แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า..
    

เส้นทางในวงการเพลงของเธอเดินทางอย่างราบรื่น เธอมีเพลงอันดับ 1 อย่าง Live to Tell, Papa Don't Preach และ Open Your Heart จากอัลบั้ม True Blue ที่ขายได้ ถึง 22 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้มนี้เธอตั้งใจจะอุทิศให้สามี ในทางตรงกันข้ามชีวิตคู่ของเธอต้องจบลง เมื่อเธอและ Penn ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน Papa Don't Preach หรือ พ่อจ๋าอย่าบ่น สร้างกระแสฮือฮามากเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ท้องก่อนเวลาอันควร แต่ก็ยังรั้นจะเก็บลูกไว้

อัลบั้มที่สี่ Like A Prayer วางแผง แน่นอน ต้องมีเพลงฮิตอันดับ 1 ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีด้วยกันถึง 4 เพลง คือ Like A Prayer, Express Yourself, Cherish และ Keep It Together มิวสิกวิดีโอเพลง Like A Prayer ก็ช็อคแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการนำเรื่องศาสนามาเกี่ยวกับเซ็กส์จนโดนตำหนิจากวาติกันและทำให้เป๊ปซี่ยกเลิกสัญญากับเธอทันที

ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงามเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan

The Immaculate Collection อัลบั้มรวมฮิตอันแรกของเธอ มีเพลงเพิ่มมาใหม่สองเพลงหนึ่งในนั้นคือ Justify My Love ที่เธอช็อคแฟนเพลงด้วยเอ็มวีที่แรงที่สุดในชีวิตของเธอโดยมีฉากสำคัญคือตอนที่มาดอนน่าจูบกับผู้หญิงต่อหน้าแฟนหนุ่ม เอ็มทีวีแบนวีดีโอนี้โดยยกเหตุผลเรื่องความลามกอนาจารในวีดีโอ ที่มีทั้งเซ็กส์แบบชาย-หญิง, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง เธอจึงนำเอ็มวีนี้ใส่วีดีโอออกขาย แถมยังขายได้ถึง 400,000 ม้วนอีกต่างหาก

ในปี 1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมายหนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟนๆมาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผาซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหนังสือทุกเล่มถูกขายหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้ม Erotica ที่ออกพร้อมๆกับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้

อัลบั้ม Bedtime Stories ดูเหมือนจะลดภาพความเซ็กซี่ลงจากอัลบั้มก่อน แต่ก็ยังมีเพลงฮิตอย่าง Take A Bow ส่วนเพลง Bedtime Stories และ Human Nature คงเป็นอานิสงส์จากการที่เธอลดความเซ็กซี่ เพราะสองเพลงนี้กลายเป็นสองเพลงแรกของเธอที่ไปไม่ถึงชาร์ท Top 40

ในปี 1995 เธอเปลี่ยนลุคตัวเองจากสาวเซ็กซี่มาเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก Lourdes Maria Ciccone Leon ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังออกฉายพอดี Evita ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกและเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง cover ของเพลง Don't Cry for Me Argentinaและ You Must Love Me ก็เป็นเพลงฮิตด้วย

3 ปีให้หลังอัลบั้ม Ray of Light เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในยุคคุณแม่มาดอนน่าที่มีแนวเพลงทันสมัยขึ้นและเปิดตัวอย่างสวยงามที่อันดับ 2 ของชาร์ท

ปี 2000 มาดอนน่ากลับมาพร้อมอัลบั้ม Music และได้คลอดลูกชายคนที่สอง Rocco John Ritchie กับผู้กำกับ ชาวอังกฤษกาย ริทชี่ (Guy Ritchie) หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ได้แต่งงานกันและร่วมกันกำกับมิวสิกวีดีโอ What It Feels Like for A Girl ในปีเดียวกันเธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ James Bond ตอน Die Another Day

ในปีถัดมาเธอออกอัลบั้ม American Life ที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม และเอ็มวีก็เสียดสีจนถูกแบนอีกครั้ง โชว์ Like A Virgin/Hollywood ในงาน MTV Video Music Awards 2003 ที่มาดอนน่าร่วมแสดงกับ บริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ มิสซี่ เอลิออท ก็ช็อคแฟนๆอีกครั้ง เมื่อบริทนี่ย์และคริสติน่าแต่งตัวและแสดงแบบที่มาดอนน่าเคยทำใน เพลง Like A Virgin เมื่อปี 1984 และทั้งคู่ก็จูบปากมาดอนน่าทีละคน ทำเอาจัสติน ทิมเบอร์เลค แฟนเก่าของบริทนี่ย์ มองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างมาดอนน่ากับบริทนี่ย์เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาดอนน่าร้องเพลงร่วมกับบริทนี่ย์ในเพลง Me Against The Music

Re-Invention World Tour ของเธอกลายเป็นทัวร์ที่ได้รับคำชมมากมายและกวาดรายได้มากสุดของปี เธอช็อคแฟนเพลงด้วยการเล่นโยคะเอาขาชี้ฟ้ากลางเวที

และในปี 2005 เธอประสบอุบัติเหตุตกหลังม้าแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผงอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor อัลบั้มเพลงเปิดตัวด้วยซิงเกิล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 11 ของเธอ

      

ในปี 2008 มาดอนน่ามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ชื่อชุด Hard Candy โดยมีซิงเกิลแรกคือ "กิพว์อิททูมี" (อังกฤษ: Give It 2 Me) , "4 Minutes" ที่ร้องร่วมกับขึ้นอันดับ 3 ในอเมริกา อันดับ 1 ในอังกฤษจัสติน ทิมเบอร์เลค[1] และในเดือนสิงหาคม ปี 2009 กับผลงานล่าสุดในอัลบั้ม Cerebration กับซิงเกิ้ลแรก Cerebration (เซละเบรทชั่น) ที่อาจเรียกได้ว่าเพื่อฉลองครบรอบ 27 ปี ในเส้นความสำเร็จทางดนตรีของเธอ มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ไปถ่ายทำไกลถึงมิลาน ประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังได้ผู้กำกับรางวัลแกรมมี่ “โจนาส อเคอร์ลันด์” Jonas Akerlund ที่เคยกำกับมิวสิควิดีโอ “เรย์ ออฟ ไลท์” Ray Of Light มากำกับมิวสิควิดีโอเพลงนี้อีกครั้งหนึ่งด้วยสาวกของมาดอนน่าคงไม่พลาดอยู่แล้ว

ปัจจุบันมาดอนน่าก็ยังคงออกทัวร์อย่างสม่ำเสมอ และก็ยังสร้างความเอนเตอร์เทนให้คนดูอยู่ตลอดเวลา(ยกเว้นท่าตรึงไม้กางเขนนะ) รวมทั้งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเสมอๆ



ขอบคุณข้อมูลจาก http://star.popcornfor2.com

จัสติน บีเบอร์ หนุ่มน้อยมหัศจรรย์ที่โด่งดังไปทั่วโลก


กลายเป็นหนุ่มน้อยมหัศจรรย์ที่โด่งดังไปทั่วโลกไปซะแล้ว สำหรับ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เล็กพริกขี้หนู ปล่อยเพลง One Time และ One Less Lonely Girl ให้ดังตู้มต้ามติดชาร์ตเพลงสากลไปทั่วโลกเมื่อปลายปีก่อน และตอนนี้เค้ากลับมาอีกครั้งแล้วค่ะ กับอัลบั้มใหม่ My World 2.0 ที่เปิดตัวด้วยซิงเกิลใหม่อย่างเพลง Baby ที่ตอนนี้ก็เริ่มจะกลายเป็นเพลงคุ้นหู ที่เปิดบ่อยในคลื่นเพลงสากลกันไปแล้ว และแน่นอน ผลงานคุณภาพของเขายังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ถ้าใครบอกว่าไม่เคยฟังเพลงของ justin bieber หรือบอกว่าไม่รู้จักหนุ่มน้อยมหัศจรรย์คนนี้เลยนี่ รีบไปหาเพลงของเค้ามาฟังด่วน เพราะถ้าไม่เคยฟังเลยจะถือว่าเชยมาก ๆ เลยนะคะนี่  แต่เอาเป็นว่าวันนี้เราจะขอพาไปทำความรู้จักกับ justin bieber ประวัติของหนุ่มคนนี้กันหน่อยแล้วกัน ดังตั้งแต่ยังเด็กแถมเพลงของเขายังมาแรงแซงทางโค้งแบบนี้ ไม่รู้จักเห็นทีจะไม่ได้แล้วล่ะ


ประวัติส่วนตัว

 

จัสติน บีเบอร์ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1994 ณ สแตรทฟอร์ด รัฐออนแทริโอ ประเทศแคนาดาแม่ของเขา แพดตี้ แมลลิที้ ( Pattie Mallette) อายุ 18 ปีตอนที่เธอได้มีลูกชายแมลลิที้ได้ทำงานด้านสำนักงานโดยมีเงินเดือนต่ำ โดยเธอเลี้ยงดูบีเบอร์โดยตัวคนเดียว ยังไงก็ตาม บีเบอร์ก็ยังติดต่อกับพ่อของเขา เจเรมี บีเบอร์ (Jeremy Bieber) และเมื่อเขาโตขึ้น บีเบอร์ได้เริ่มเรียนเปียโน, กลองชุด, กีตาร์, และทรัมเป็ต ด้วยตัวเอง จนกระทั่งปี ศ.ศ. 2007 ตอนที่เขาอายุ 12 ปี บีเบอร์ได้ร้องเพลงของ Ne-Yo ชื่อเพลง "So Sick" ในการแข่งขันร้องเพลงที่สแตรทฟอร์ด และเขาได้ที่สอง แมลลิที้ได้โพสวีดีโอขึ้นเว็บไซต์ยูทูบเพื่อให้ครอบครัวและเพื่อนๆของเขาได้ชม และเธอก็เริ่มโพสวีดีโอที่เขาได้ร้องเพลงอื่นๆ จนกระทั่งเขาเริ่มมีชื่อเสียงจากเว็บไซต์นี้ และกลายเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องอินเทอร์เน็ต จนสุดท้ายผลงานของ justin bieber ได้ไปเตะตา Scooter Braun ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเจบีในปัจจุบัน ในตอนนั้น Braun ได้ส่งผลงานให้ Usher โปรดิวเซอร์ระดับเซียน และนั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของความโด่งดังของหนุ่มเจบีคนนี้


       

จัสติน บีเบอร์ มีผลงานเพลงชุดแรกออกมาให้ฟังเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552) ในอัมบั้มที่ชื่อว่า "One Time" โดยเพลงนี้มี Usher มาร่วมร้องด้วย ถือว่าประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะไม่มีใครเคยคิดว่า หนุ่มน้อยคนนี้จะสร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการเพลงด้วยการส่งเพลง "One Time" ให้ฮิตติดชาร์ตเพลงสากลไปทั่วโลก ก่อนจะปล่อยเพลง "One Less Lonely Girl", "Love Me", และ "Favorite Girl" ให้ติดชาร์ตตามกันมาติด ๆ และแน่นอนว่า เป็นหนุ่มอายุน้อยแต่มากความสามารถแบบนี้ ก็เลยกวาดคะแนนความฮอตจากคนฟังไปได้อย่างง่ายดาย ถือเป็นนักร้องหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดคนหนึ่งแห่งปี จนนิตยสารระดับโลกอย่าง Billboard, People, US Weekly และ Entertainment Weekly ต้องนำเรื่องราวของ justin bieber ประวัติของเขาไปตีพิมพ์ เรียกว่าไม่ใช่ธรรมดา ๆ เลยนะเนี่ย


    

จัสติน บีเบอร์ ได้ร้องเพลงของ สตีวี วันเดอร์ ( Stevie Wonder) "Someday at Christmas" สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัก โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา มิเชลล์ โอบามา ที่ทำเนียบขาวสำหรับวันคริสต์มาสในวอชิงตัน ดี.ซี. และออกอากาศในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2009 บนสถานีโทรทัศน์ช่อง TNT ของสหรัฐอเมริกา และยังร้องเพลงในงาน Dick Clark's New Year's Rockin' Eve ร่วมกับไรอัน ซีเครสต์ ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2009 บีเบอร์ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในงาน the 52nd Grammy Awards ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2010 ได้รับเชิญในการบันทึกเสียงเพลง วีอาร์เดอะเวิลด์ 25 ฟอร์ เฮติ (We Are The World for its 25th anniversary to benefit Haiti) เนื่องจากในเหตุแผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ บีเบอร์ได้ร้องในช่วงท่อนเปิดเพลง เช่นเดียวกับไลโอเนล ริชชี ในเวอร์ชันต้นตำหรับ และในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2010 ก็ยังได้ไปร้องในเวอร์ชันของ K'naan's "Wavin' Flag" บันทึกเสียงโดยกลุ่มศิลปินวัยรุ่นชาวแคนาดา สำหรับเฮติ โดยบีเบอร์ได้ร้องในช่วงท่อนปิดเพลง


         

เพลงซิงเกิ้ล "Baby" โดยร่วมกับลูดาคริส ได้เปิดตัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 และได้ฮิตมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ได้ติดชาร์ต 1 ใน 5 ของสหรัฐอเมริกา และติด 1 ใน 10 อันดับของ 7 ประเทศทั่วโลก และอีกสองซิงเกิ้ล "Never Let You Go" และ "U Smile" ได้ไต่อันดับฮิต 30 อันดับในสหรัฐของฮอต 100 และ 20 อันดับฮิตของแคนาดา และมันได้ขึ้นมาอันดับ 1 ของบิลบอร์ด 200 ของสหรัฐอเมริกา ทำให้บีเบอร์เป็นคนที่ติดอันดับ 1 ที่อายุน้อยที่สุดเช่นเดียวกับสตีวี วันเดอร์ในปี ค.ศ. 1963 นอกจากนั้นอัลบั้มมายเวิลด์ 2.0 ( My World 2.0) ยังเปิดตัวขึ้นอันดับ 1 ในอัลบั้มชาร์ตของแคนาดา ไอริช ออสเตรเรีย และนิวซีแลนด์ และไต่ขึ้น 1 ใน 10 อันดับของ 15 ประเทศทั่วโลก และเพื่อการประชาสัมพันธ์อัลบั้ม บีเบอร์ยังได้ไปร่วมออกงาน The 2010 Kids Choice Awards, Nightline, The Late Show กับ เดวิด เลตเทอร์แมน, The Dome and 106 and Park วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2010 ได้เป็นนักร้องรับเชิญในแซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ และวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 ได้แสดงในงาน The Macy's Fourth of July Fireworks Spectacular ในนครนิวยอร์ก และซิงเกิ้ลที่สองของมายเวิลด์ 2.0 "Somebody to Love" ได้เปิดตัวในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 แต่กลับล้มเหลวในชาร์ตต่างๆ แต่ต่อมาก็ได้มีการเปิดตัวรีมิกซ์ใหม่โดยร่วมกับอัชเชอร์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 และได้ติดอันดับ 15 บนบิลบอร์ดฮอต 100
  ค.ศ. 2010–ปัจจุบัน: คอนเสิร์ตมายเวิลด์ ทัวร์ ผลงานในอัลบั้มที่สอง และอัลบั้มมายเวิลด์ อคูสติก


My World Tour

วันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 2010 บีเบอร์ได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของเขา โดยเริ่มที่ ฮาร์ตฟอร์ด คอนเนตทิคัต สำหรับการประชาสัมพันธ์อีพีมายเวิลด์ และอัลบั้มมายเวิลด์ 2.0  ทัวร์ครั้งนี้ถูกเรียกว่า "มายเวิลด์ ทัวร์" ( My World Tour) โดยจะตระเวนแสดงสดไปทั่วอเมริกาและแคนาดาในปี 2010-2011 และในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 มีการรายงานว่าบีเบอร์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ถูกค้นหาในอินเตอร์มากที่สุด เช่นเดียวกับมิวสิกวีดีโอของเพลง "เบบี้" ( Baby) ซึ่งแซงเพลงของ เลดี้ กาก้า "แบดโรมานส์" จนเป็นวีดีโอที่มีคนชมมากที่สุดของเว็บไซต์ยูทูบเท่าที่เคยมีมา


จัสติน บีเบอร์ ในงาน Annual Critics Choice Movie 2011

       

ตรงจุดนี้ โทนเสียงของบีเบอร์เริ่มต่ำลงเนื่องจากเสียงเริ่มแตกจากการเข้าวัยหนุ่มสาว ก่อนหน้านั้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า "มันเริ่มแย่ เหมือนกับวัยรุ่นหนุ่มทุกๆคน ผมกำลังทำงานกับมัน และผมก็มีโค้ชทางด้านเสียงร้องที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก   ในบางงานผมร้องเพลง "เบบี้" แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้แล้ว พวกเราต้องลดคีย์ของเพลงลงเวลาผมต้องร้องเพลงนี้สด" นักร้อง/นักแต่งเพลงของอังกฤษ ไทโอ ครูซ ( Taio Cruz) ยืนยันว่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 นั้นเขาได้เขียนเพลงให้กับบีเบอร์สำหรับอัลบั้มถัดไป  และผู้สร้างงานฮิปฮอป ดร. เดร ( Dr. Dre) ได้ร่วมทำเพลงกับบีเบอร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010  แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดใดๆเกี่ยวกับอัลบั้มนี้ และคาดว่าจะเปิดตัวอัลบั้มนี้ในปี ค.ศ. 2011

นอกจากนั้นเขายังได้เป็นนักแสดงรับเชิญของสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS ในซีรี่ยดัง ซีเอสไอ: ไครม์ซีนอินเวสติเกชัน ซึ่งจะถูกนำออกอากาศในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2010 โดยการรายงานของ รอยเตอร์ส ได้บอกว่า เขาจะเล่นเป็น "เด็กที่เครียดเกี่ยวกับการตัดสินใจของพี่ชาย" ( troubled teen who is faced with a difficult decision regarding his only brother.) โดยบีเบอร์จะแสดงในตอนอื่นๆด้วยโดยบทของเขาจะเชื่อมต่อกัน

บีเบอร์ยังได้มีภาพยนตร์ 3 มิติ "Never Say Never" โดยเกี่ยวกับตัวเขาเอง กำกับโดย Jon Chu ผู้กำกับจาก Step Up 3D จะออกฉายครั้งแรกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011  และในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2010 เขาได้ออกอัลบั้ม ชื่อว่า มายเวิลด์ อคูสติก ( My Worlds Acoustic)  โดยได้ออกจำหน่ายในวัน Black Friday ในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นเพลงเก่าในรูปแบบอคูสติก เพลงซิงเกิ้ล และเพลงซิงเกิ้ลใหม่ "Pray"

ผลงานอัลบั้ม
ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view11966.html
 และ http://th.wikipedia.org
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...